การเขียนบทความวิจัย
Research
Article
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์
31กรกฎาคม 2558
บทความวิจัย
เป็นการนำเสนอข้อมูลการวิจัยเป็นลายลักษณ์อักษร โดยนำข้อมูลที่ปรากฎ
ในรายงานการวิจัยมาประมวลและสรุปย่อเรียบเรียงเป็นบทความเพื่อให้ผู้อ่านทราบเกี่ยวกับความสำคัญและความเป็นมา
วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการดำเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ
ของงานวิจัยที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอ
การเขียนบทความวิจัย ควรมีองค์ประกอบดังนี้
1 ชื่อเรื่อง (Title) เป็นชื่อที่มาจากชื่องานวิจัย ควรเขียนให้กระชับ
การเขียนชื่อบทความวิจัยเป็นการเขียนข้อค้นพบโดยใช้งานวิจัย/วิทยานิพนธ์เป็นฐาน
การเขียนชื่อบทความจึงไม่จำเป็นต้องชื่อเหมือนงานวิจัย แต่ต้องแสดงสิ่งสำคัญที่ต้องการศึกษาโดยย่อ
การเขียนชื่อบทความจึงควรคำนึงถึงหลักในการเขียน ดังนี้
1.1
ชื่อเรื่องควรเป็นนามวลี ที่บอกให้ทราบตัวแปรหลักที่ศึกษา
1.2
ชื่อเรื่องไม่ควรยาวเกินไป ควรมุ่งอธิบายให้ผู้อ่านทราบประเด็นของงานวิจัย
อย่างย่อที่สุด
1.3 ควรแสดงคำสำคัญของงานวิจัยที่ทำไว้ในชื่อเรื่อง
2 บทคัดย่อ (Abstract) เป็นการเขียนสรุปการทำวิจัยทั้งหมด
โดยจะต้องเขียนสรุปและได้ใจความ ประกอบด้วย ที่มาของงานวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย
รูปแบบการวิจัย ตัวแปร วิธีดำเนินการวิจัยอย่างย่อ ผลการวิจัย บทคัดย่อควรเป็นส่วนที่เขียนขึ้นหลังจากเขียนบทความเสร็จเรียบร้อย
การเขียนบทคัดย่อ จึงควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
2.1 องค์ประกอบในบทคัดย่อ
ควรประกอบด้วยส่วนนำ จุดประสงค์ วัสดุอุปกรณ์
และวิธีการ ผลการศึกษา
และสรุป โดยเรียบเรียงการเขียนแบบร้อยแก้ว ติดต่อกันไป อย่างย่อ กะทัดรัดชัดเจน เข้าใจง่าย
ได้ใช้ความ
2.2 เขียนบอกเฉพาะ แรงจูงใจ
ปัญหาหลัก วัตถุประสงค์ ระเบียบวิธีวิจัย
วิธีดำเนินการ
ข้อค้นพบ ปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์และ/หรือสมมุติฐาน โดยไม่ต้องบอกค่าสถิติที่ได้
2.3 ไม่ควรเขียนรายละเอียดข้อมูลทั่วไป/กลุ่มตัวอย่าง และไม่ต้องอภิปรายผลและ
ข้อเสนอแนะ และไม่ควรเขียนผลการวิจัยเป็นข้อ
ๆ
2.4 ควรมีความยาวพอประมาณ
ส่วนใหญ่วารสารทางวิชาการจะมีการกำหนด
จำนวนคำในบทคัดย่อไว้
ซึ่งจะแตกต่างกันไปโดยทั่วไปจะกำหนดไว้ประมาณ 250 คำ และระบุคำสำคัญ 1-4 คำ หรือตามแต่วารสารนั้น
ๆ จะกำหนด
2.5 อาจเขียนเป็น
1 ย่อหน้า หรือ 2 ย่อหน้า โดยอาจแสดงออกเป็น ส่วนที่
1
ประกอบด้วยแรงจูงใจ
ปัญหา วัตถุประสงค์ วิธีวิจัย และส่วนที่ 2 ประกอบด้วย ข้อค้นพบเพื่อตอบวัตถุประสงค์หรือสมมุติฐาน
(ถ้ามี)
3 บทนำ (Introduction) เป็นการเสนอ ที่มาของการวิจัย
ได้แก่ ความสำคัญของปัญหา เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจปัญหาการวิจัย โดยอาจยกสถานการณ์หรือข้อมูลประกอบพร้อมระบุเหตุผลของความจำเป็นที่ต้องแก้ไขปัญหาซึ่งเป็นที่มาของการวิจัย
ความเกี่ยวข้องกันระหว่างตัวแปรที่ศึกษากับแนวคิดทฤษฎี วัตถุประสงค์การวิจัย การกำหนดขอบเขตของการวิจัย
และประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ผู้เขียนอาจรวมวัตถุประสงค์ หรือแยกการเขียนวัตถุประสงค์การวิจัยไว้เป็นอีกส่วน
ทั้งนี้ขึ้นกับรูปแบบที่แต่ละสถาบันจะกำหนด การเขียนบทนำที่ดี ดังนี้ (สุนันทา จริยาเลิศศักดิ์. [ออนไลน์] : 2555)
3.1 ควรเสนอลักษณะและความเป็นมารวมทั้งขอบเขตของปัญหาที่นำมาศึกษาให้
ชัดเจน
3.2 มีการทบทวนเอกสารเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย
ความก้าวหน้า และ
ข้อคำถามหรือปัญหาใดที่ยังไม่มีการศึกษาหาคำตอบ
ซึ่งจะสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของงานวิจัยในบทความที่นำเสนอ
3.3 ระบุวิธีการที่จะศึกษาวิจัย
3.4 มีความยาวประมาณ
2-3 ย่อหน้า ข้อความควรมีความกระชับ ชัดเจน
3.5 การเขียนต้องมีการแสดงหลักฐานอ้างอิงแทรกไว้ในเนื้อหา
โดยอาจเป็น
แนวคิดจากนักวิชาการ
และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
4 วิธีดำเนินการ (Methodology) เป็นการเขียนเพื่อให้ทราบว่าข้อมูลที่นำเสนอในงานวิจัยเรื่องนั้นๆ
ถูกรวบรวมหรือสร้างขึ้นอย่างไร โดยนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับ ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
ตัวแปรที่ศึกษา
ระยะเวลา กรอบแนวคิด เครื่องมือ รวมทั้งกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ผู้อ่านทราบและมั่นใจว่าเป็นวิธีการที่ทำได้ถูกต้อง
และเหมาะสมกับบัญหาวิจัยนั้น ๆ
5 สรุปผลการวิจัย (Results and Conclusion) เป็นการเขียนเพื่อแสดงผลที่ได้จาก
การทำวิจัย และแปลความหมายจากผลการทดลองหรือข้อมูลที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล
การนำเสนอผลการวิจัยอาจนำเสนอในรูปตาราง แผนสถิติ แผนภาพ หรือคำบรรยายที่ชัดเจน
ควรเสนอตามลำดับวัตถุประสงค์การวิจัย
6 การอภิปรายผล (Discussion) เป็นการให้คำวิจารณ์ แนะนำ
และอภิปรายผลของ
การวิจัยที่เกิดขึ้นว่าเป็นเพราะเหตุใด
เป็นการอธิบายสาเหตุการเกิดผล การเปรียบเทียบผลกับข้อมูลหรือข้อสรุปที่ได้มาจากการทบทวนวรรณกรรม
หรือข้อมูลของงานวิจัยของผู้อื่นที่มีการรายงานไว้แล้วมาสนับสนุน รวมทั้งตอบสมมุติฐานในกรณีที่กำหนดไว้ว่าเป็นไปหรือไม่เป็นไปเพราะเหตุผลใด
ผู้เขียนสามารถนำข้อสังเกตหรือข้อค้นพบที่เกิดขึ้นในระหว่างการดำเนินงานวิจัยมาใช้เป็นเหตุผลประกอบการอภิปรายผลได้
7 ข้อเสนอแนะ (Recommendation) เป็นการนำเสนอเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าผลจากการวิจัยนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์จริงได้อย่างสมเหตุสมผล
และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปได้ การเขียนข้อเสนอแนะ จะเขียนเป็น 2 แนวทาง คือ
7.1 ข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้
เป็นการนำไปปรับปรุงกระบวนการ
ทำซ้ำ โดยขจัดปัญหาและอุปสรรคและเพิ่มแนวทางเพื่อความสมบูรณ์
7.2 ข้อเสนอแนะที่สืบเนื่องจากผลวิจัย
เพื่อเป็นการพัฒนาต่อเนื่องให้ได้องค์
ความรู้เพิ่มเติมจากการพิสูจน์ตามข้อเสนอที่มีผลกระทบต่องานวิจัย
8. เอกสารอ้างอิง (References) ในการเขียนบทความวิจัยซึ่งเป็นเอกสารทางวิชาการ
จำเป็นต้องแสดงแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำเสนอด้วยการอ้างอิงทุกแห่งที่ปรากฏในบทความ
ผู้เขียนต้องแสดงในรายการเอกสารอ้างอิงท้ายบทความ ควรตรวจสอบรูปแบบการเขียนรายการอ้างอิงให้ถูกต้อง
ตามประเภทการอ้างอิง รูปแบบการอ้างอิง ตามที่วารสารนั้นกำหนดรูปแบบไว้ และถูกต้องตามระบบการอ้างอิงของวารสารนั้น
ๆ โดยทั่วไปวารสารแต่ละชื่อเรื่องจะระบุรูปแบบและระบบการอ้างอิง การเขียนอ้างอิงเพื่อการแสดงรายการหลักฐานต่าง
ๆ ที่นำมาใช้ประกอบการเขียนบทความ ส่วนใหญ่ที่ใช้มี 2 ระบบ ได้แก่
ระบบนาม-ปี ซึ่งนิยมใช้ทางสังคมศาสตร์ และระบบตัวเลขลำดับ นิยมใช้ทางวิทยาศาสตร์
การใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบใด ให้ยึดถือตามเกณฑ์ที่แต่ละชื่อวารสารกำหนด
………………………………………………………………