วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

ทักษะทางสังคม

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์
สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ทักษะทางสังคมเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสังคม เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับบุคคลทุกเพศ ทุกวัย เพื่อใช้ในการปฏิสัมพันธ์ ติดต่อสื่อสาร และการอยู่ร่วมกันของบุคคลในสังคม  บุคคลที่มีทักษะทางสังคมดีจะสามารถอยู่ร่วมกับบุคคลในครอบครัว ชุมชน และสังคมได้อย่างมีความสุข ทักษะสังคมเป็นทักษะที่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบเช่นเดียวกับทักษะอื่น ๆ
         
ความหมาย
          ทักษะทางสังคม  มาจากคำสองคำ คือ คำว่า ทักษะ  กับ คำว่า สังคม  เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นจะขออธิบายพอสังเขปดังนี้
          ทักษะ  หมายถึง ความสามารถในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนชำนาญ
          สังคม เป็นคำที่มาจากภาษาบาลี ประกอบด้วยคำ “สัง” แปลว่า ด้วยกัน พร้อมกัน  ส่วนคำว่า “คม”  แปลว่า ดำเนินไป  เมื่อนำมารวมกันจึงสามารถแปลได้ว่า ไปด้วยกัน ไปพร้อมกัน (จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ 2545: 59)
          สังคม หมายถึง คนจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามระเบียบกฎเกณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน (ราชบัณฑิตยสถาน 2524: 371)
จึงอาจสรุปได้ว่า ทักษะทางสังคม  หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการปฏิบัติตนเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น หรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งร่วมกับบุคคลอื่นตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ภายใต้ระเบียบกฏเกณฑ์ของสังคมนั้นๆ ได้อย่างเหมาะสม
ทักษะทางสังคม เป็นความสามารถในการรู้จัก เข้าใจ สร้างสรรค์และประสาน ความรู้สึก ความต้องการ ความสัมพันธ์ ตลอดจนแก้ปัญหาและจัดการกับการปฏิสัมพันธ์ของบุคคลที่มีต่อกัน ทักษะทางสังคมประกอบด้วยกลุ่มของทักษะต่าง ๆ ที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์และการสื่อสารระหว่างกันของบุคคลในสังคมได้แก่ ทักษะการสื่อสาร การพูด การฟัง การทำงานร่วมกัน ความสามารถในการเข้าใจถึงสถานการณ์ที่หลากหลาย กฎกติกาต่าง ๆ ในสังคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในทางบวกให้เกิดขึ้น

ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม
อีริคสัน (Erik Erikson ) นักจิตวิทยาอธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทางสังคมว่ามีความเกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลิกภาพ บุคคลจะมีการพัฒนาบุคลิภภาพตลอดชีวิต และเป็นสิ่งสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือการมีสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ ในสังคมนั่นเอง อิริคสันได้จำแนกพัฒนาการทางบุคลิกภาพของบุคคลไว้  8 ขั้น คือ
          ขั้นที่ 1  ความรู้สึกไว้วางใจและความไม่ไว้วางใจ ( Trust VS Mistrust )  จะเริ่มขึ้นระหว่างช่วงอายุแรกเกิดถึง  1  ขวบ  ถ้าเด็กได้รับอาหาร ความรัก ความเอาใจใส่และความใกล้ชิดจากมารดาหรือพี่เลี้ยงเป็นอย่างดี  เด็กจะเกิดความรู้สึกไว้วางใจและความอบอุ่นมั่นคง  ในทางตรงข้ามหากถูกทอดทิ้งและไม่ได้ความรักจะเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจใครในวัยเด็ก   
          ขั้นที่ 2   ความเป็นตัวของตัวเองและความสงสัย ( Autonomy  VS Doubt)   ความรู้สึกนี้จะเกิดในช่วงปีที่ 2 เด็กวัยนี้จะแสดงออกให้เห็นว่าตนเองมีความสามารถ  มีความเป็นตัวของตัวเอง  ในทางกลับกันหากเด็กไม่ได้รับความสำเร็จหรือความพอใจก็จะเกิดความอายและกลัวการแสดงออก   
          ขั้นที่ 3  การริเริ่มและความรู้สึกผิด ( Initiative VS Guilt ) เป็นช่วงอายุ 3 ถึง 5 ปี เด็กวัยนี้จะเลียนแบบสมาชิกในครอบครัว  ชอบทดลองทำสิ่งใหม่ๆ  ถ้าทดลองแล้วผิดพลาดจะเกิดความขยาดและหวาดกลัว  เป็นวัยที่มีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัวและเด็กๆ  นอกบ้าน 
          ขั้นที่ 4  ความรู้สึกรับผิดชอบและความรู้สึกปมด้อย ( Industry VS Interiority ) เกิดขึ้นในช่วงอายุ 6- 11 ปี  เด็กวัยนี้จะเริ่มเกี่ยวข้องกับบุคคลนอกบ้านมากขึ้น เป็นช่วงที่จะขยันเรียน  ขยันอ่านหนังสือประเภทต่างๆ  พูดคุยและอวดโชว์ความเด่น และชอบแสดงความสามารถของตนเพื่อให้เพื่อนยอมรับ  ถ้าทำไม่ได้ก็จะผิดหวังและรู้สึกเป็นปมด้อย  
          ขั้นที่ 5  บุคลิกภาพของตน และความไม่เข้าใจตนเอง (Identity VS Identity Diffusion )  อยู่ในช่วงอายุ  13-18  ปี  เป็นระยะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งต้องการสร้างเอกลักษณ์หรือบุคคลิกภาพของตน  โดยเลียนแบบจากเพื่อนๆ  หรือผู้ใกล้ชิด  ถ้ายังสร้างเอกลักษณ์ของตนไม่ได้จะเกิดความว้าวุ่นและหมดหวัง  จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผู้อยู่ใกล้ชิดต้องแสดงแบบอย่างที่ดีเพื่อให้เด็กสร้างบุคลิกภาพที่เหมาะสม
          ขั้นที่ 6  ความเป็นผู้นำ และความเปล่าเปลี่ยว  ( Intimacy VS Isolation ) ช่วงอายุ  19-40 ปี  เป็นวัยที่ก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่มีความต้องการเป็นผู้นำ  ต้องการติดต่อและสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ  จนเป็นเพื่อนสนิทและหรือเป็นคู่ชีวิต  หากไม่สามารถทำได้ตามที่คาดหวังก็จะแยกตนเองออกจากสังคมหรืออยู่ตามลำพัง  ในวัยนี้จะมีเพื่อนรัก  เพื่อนร่วมงาน  และเพื่อนสนิทเป็นจำนวนมาก               
          ขั้นที่ 7  ความเสียสละ และความเห็นแก่ตัว  ( Generativity VS Self Absorbtion ) เป็นช่วงวัยกลางคนเป็นวัยที่มีความรับผิดชอบ มีครอบครัว มีการให้กำเนิดบุตร  ให้การอบรมเลี้ยงดู  ให้การศึกษา  ให้ความรักและความเอาใจใส่เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่บุตรหลานและสมาชิกในครอบครัว                 
ขั้นที่ 8   ความมั่นคงของชีวิต และความสิ้นหวัง ( Integrity VS Despair ) อยู่
ในช่วงอายุ 61 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่ต้องการความมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิต  จะภาคภูมิใจในความสำเร็จแห่งชีวิตและผลงานของตน  ถ้าผิดหวังจะเกิดความรู้สึกล้มเหลวในชีวิต  

คุณสมบัติของผู้มีทักษะทางสังคมที่ดี
          ผู้มีทักษะทางสังคมที่ดี ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้
1.       มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ดี  คุณลักษณะส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้การพัฒนาทักษะ
ทางสังคมของบุคลลสามารถดำเนินการไปได้จนประสบผลตามที่กำหนดไว้  คุณลักษณะส่วนบุคคลที่ควรได้รับการส่งเสริมให้มีขึ้นได้แก่ ความมุ่งมั่นตั้งใจ  ความมีระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ ความขยันหมั่นเพียรและอดทน  ความซื่อสัตย์ 
2.       มีทักษะการสื่อสารดี มีหลายทักษะ แต่ที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับผู้เรียนต้องการพัฒนาทักษะทาง
สังคม ได้แก่ การพัฒนาทักษะการฟังและการพูด ทักษะการสังเกตและการตีความภาษาท่าทาง เป็นต้น
3.       มีทักษะการจัดการกับตนเองดี ได้แก่ การรู้จักและยอมรับตนเอง การวางแผนการทำงาน การ
ควบคุมตนเอง เป็นต้น
4.       มีการตระหนักรู้ทางสังคม  เป็นความสามารถของบุคคลในการแสดงออกถึงการรับรู้เกี่ยวกับ
ตนเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสิ่งแวดล้อม การแสดงพฤติกรรมอย่างเหมาะสมในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข คุณสมบัติข้อนี้ได้แก่ การเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ และมีมารยาททางสังคมที่เหมาะสม เป็นต้น การจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ทางสังคมควรเป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวข้องกับผู้ทำกิจกรรม โดยเริ่มจากเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวไปสู่เรื่องที่ไกลตัวออกไป ได้แก่ การเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในบ้าน ความสัมพันธ์กับโรงเรียน ความสัมพันธ์กับชุมชนและสิ่งแวดล้อม
พ่อแม่กับการพัฒนาทักษะทางสังคมของบุตรหลาน
ครอบครัวเป็นสังคมแรกที่ลูกจะได้ฝึกทักษะทางสังคม ดังนั้นเพื่อให้ลูกได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมต่อไปได้อย่างเหมาะสม จึงควรมีการทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว เพื่อส่งเสริมทักษะเพื่อการอยู่ร่วมกันในครอบครัว และพัฒนาทักษะทางสังคมเพื่อใช้กับเพื่อนและครู ดังนี้
1.       การพัฒนาทักษะเพื่อการอยู่ร่วมกันในครอบครัว
1.1   กำหนดข้อตกลงของการปฏิบัติตนตลอดจนบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว การ
อยู่ร่วมกันในครอบครัวแม้จะมีสมาชิกจำนวนไม่มาก ก็ควรมีการกำหนดข้อตกลง หรือระเบียบซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้การฝึกทักษะทางสังคมของลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อตกลง หรือระเบียบของบ้านเปรียบเสมือนกฏระเบียบของสังคม ดังนั้นก่อนทำการฝึกทักษะจึงควรร่วมกันสร้างข้อตกลงของบ้าน โดยพูดคุยแล้วกำหนดเป็นข้อควรปฏิบัติ เช่น เวลาการรับประทานอาหาร  การใช้และจัดเก็บของ การปิดเปิดน้ำไฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้าน  เป็นต้น
1.2   กำหนดกิจกรรมที่จะทำร่วมกัน เช่น การรดน้ำต้นไม้ การทำความสะอาดบ้าน การ
ประกอบอาหารหรือช่วยจัดโต๊ะอาหาร อ่านหนังสือหรือเล่นกีฬาร่วมกัน 
1.3   ชวนลูกหรือบุตรหลานมาปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันตามที่กำหนดไว้ โดยหมั่นพูดคุยและ
แสดงความรักความไว้วางใจให้บุตรหลานได้รับรู้อยู่เสมอ โดยการใช้ภาษาท่าทาง เช่น การจับมือ การกอด การยิ้มให้ การร่วมกันทำกิจกรรมกับบุคคลในครอบครัวจะช่วยให้ลูกมีความสุข มีความมั่นใจที่จะแสดงออกกับบุคคลอื่นๆต่อไป
1.4   พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักการรอคอย  การแบ่งปัน การขอบคุณ การขอโทษและให้อภัย ใน
ระหว่างการทำกิจกรรม เช่น เมื่อช่วยกันรดน้ำต้นไม้ ฝึกให้ลูกรอเมื่อต้องการรองน้ำใส่กระบอกรดน้ำ  ขอบคุณเมื่อได้รับการช่วยเหลือหรือได้รับของจากผู้อื่น  ขอโทษเมื่อทำน้ำเปียกรองเท้าหรือเสื้อผ้าของแม่  สิ่งเหล่านี้ผู้ฝึกคือพ่อแม่ผู้ปกครองต้องแสดงให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่างก่อนเพื่อให้ลูกรับรู้และบอกให้ลูกปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น การฝึกให้พูดและทำบ่อยๆ จะช่วยให้ลูกซึมซับสิ่งที่ได้รับการฝึกนั้นและปฏิบัติได้เองโดยไม่ต้องมีการชี้แนะ
                   1.5 ควรมีการบอกกล่าวข้อดีของการทำกิจกรรมร่วมกันหลังจากปฏิบัติกิจกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกครั้ง เพื่อให้บุตรหลานรับรู้และตระหนักถึงการปฏิบัติตนตามแนวทางที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองได้อบรมสั่งสอน
2.       การพัฒนาทักษะทางสังคมเพื่อใช้กับเพื่อน ครูและบุคคลอื่น  พ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถช่วย
พัฒนาทักษะทางสังคมที่ลูกจะต้องใช้กับเพื่อนและครูได้โดยการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำร่วมกันที่บ้าน แล้วอธิบายเพื่อเชื่อมโยงให้บุตตรหลานทราบว่าหากอยู่ในชั้นเรียนหรือสถานศึกษา ควรปฏิบัติอย่างไรบ้าง การฝึกทักษะกับบุตรหลานอาจใช้วิธีการเล่นบทบาทสมมติ เช่น เล่นเป็น ครู นักเรียน หรือเล่นเป็นเพื่อนในห้องเรียน หรือการดูจากการ์ตูน โฆษณา ละคร หรือภาพยนตร์ที่เหมาะสม จะทำให้บุตรหลานสามารถจินตนาการเชื่อมโยงกับเรื่องราวหรือสถานการณ์จริงตนเองเคยประสบมาแล้วได้ง่ายยิ่งขึ้น ทักษะที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรฝึกให้บุตรหลานได้ปฏิบัติเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนและครูอาจารย์ได้อย่างมีความสุข ได้แก่
2.1   การแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมในชั้นเรียน  ได้แก่
-การเข้าหาคนอื่นๆ ด้วยท่าทางที่สังคมยอมรับ  เช่น การเข้าพบผู้ใหญ่ ไม่ควรยืนค้ำ
ศีรษะขณะที่ผู้ใหญ่นั่งอยู่  ไม่ยืนหรือเดินประชิดตัวครูหรือผู้ใหญ่ การส่งงานในห้องพักอาจารย์ เป็นต้น
-การขออนุญาตก่อนลงมือกระทำ  เช่น การขอยืมของใช้จากเพื่อน  การขออนุญาต
ไปห้องน้ำ หรือออกไปนอกห้องเรียน เป็นต้น
-การสร้างความเป็นเพื่อนและรักษาความเป็นเพื่อนไว้
-การแบ่งปันของอุปกรณ์การเรียนและของเล่น  
-การขอโทษ และการให้อภัย ควรฝึกให้บุตรหลานรู้จักขอโทษและการให้อภัยเพื่อน
ในชั้นเรียน โดยการพูดคุยเชื่อมโยงจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้าน ไปสู่การปฏิบัติตนในชั้นเรียนของบุตรหลาน  เช่น เมื่อพ่อแม่ส่งขนมให้ควรฝึกให้ลูกขอบคุณ พร้อมทั้งสอนว่าเมื่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครูหรือผู้ใหญ่คนอื่นส่งของให้ลูกควรกล่าวขอบคุณทุกครั้ง  เป็นต้น
                    2.2 ลักษณะนิสัยการทำงาน/ ทักษะที่ใช้ในการเรียน ได้แก่
                              -การฟัง  การพูด 
                              -ความมุ่งมั่นเอาใจใส่ ความขยัน อดทนในการทำงาน
                              -การทำตามคำแนะนำ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของห้องเรียนและโรงเรียน
                              -การยอมรับผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของตนเอง
2.3   การจัดการกับความคับข้องใจและความโกรธ  ในการเรียนรู้หรือปฏิบัติกิจกรรมร่วมกับ
ผู้อื่น อาจก่อให้เกิดความคับข้องใจขึ้นได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรฝึกให้บุตรหลานปฏิบัติคือ การจัดการกับความขับข้องใจหรือความโกรธที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจทำได้โดย
                              -การฝึกให้นับถึง 10 ก่อนที่ลูกจะมีปฏิกิริยาตอบโต้
                              -การทำให้ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นโดยหันไปทำสิ่งอื่นที่ชอบ
                             -การใช้การแสดงออกด้วยคำพูดทดแทนการปะทะทางร่างกาย เช่น การขอความช่วยเหลือจากครูหรือเพื่อน เพื่อให้ช่วยจัดการกับปัญหาหรือข้อขัดแย้ง
                              -การฝึกให้ลูกเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองโดยการบอกกับตนเองเพื่อทำให้ตัวเองใจเย็นลงและแสดงปฏิกิริยาตอบกลับที่ดีที่สุด การฝึกแบบนี้พ่อแม่หรือผู้ฝึกจะต้องสอนโดยการบอกให้ลูกคิดตามก่อน  เช่น เมื่อลูกไม่พอใจที่ลูกสุนัขมาคาบรองเท้าของลูกไปไว้ที่อื่น แม่อาจบอกว่า “สงสัยเจ้าหมาน้อยคงเหงาอยากให้ลูกเล่นด้วย เลยคาบรองเท้าไปซ่อน อย่าไปโกรธมันเลยนะคะคนดีของแม่ เราไปช่วยกันหารองเท้าของหนูดีกว่า” เป็นต้น การกล่าววาจาที่เป็นเหตุผลในทางบวกจะช่วยให้ลูกรับรู้และคิดตามจนติดเป็นนิสัยที่ดีต่อไป

ขั้นตอนในการพัฒนาทักษะทางสังคม
         ผู้ปกครองที่ต้องการจะพัฒนาทักษะทางสังคมให้กับบุตรหลาน ควรดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.       ก่อนการปฏิบัติกิจกรรม ควรปฏิบัติดังนี้
1.1 แยกแยะและกำหนดพฤติกรรมเป้าหมายที่ต้องการจะพัฒนา /แก้ไขว่ามีพฤติกรรมใดบ้าง
1.2   ตัดสินว่าพฤติกรรมใดที่ต้องการพัฒนาหรือแก้ไข
1.3   กำหนดพฤติกรรมอย่างละเอียดว่าต้องการให้เกิดผลอย่างไรโดยกำหนดสิ่งที่บุตรหลานสามารถจะทำได้หรือแสดงออกหลังจาก การได้รับการส่งเสริมทักษะนั้นๆแล้ว
1.4   วางแผนและจัดเตรียมการพัฒนา โดย
1.4.1         การกำหนดกิจกรรมที่จะใช้ในการพัฒนาพฤติกรรมที่กำหนดไว้
1.4.2         กำหนดระยะเวลา อุปกรณ์ สถานการณ์ และบุคคลผู้ร่วมทำกิจกรรม
2.       ระหว่างการปฏิบัติกิจกรรม
ปฏิบัติกิจกรรมตามที่กำหนดไว้พร้อมทั้งสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลานในระหว่างการทำ
กิจกรรม จดจำและบันทึกพฤติกรรมที่บุตรหลานแสดงออกในระหว่างการทำกิจกรรม
3.       หลังการปฏิบัติกิจกรรม
ควรสรุปผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุตรหลานที่ต้องการพัฒนาว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง จากนั้นผู้ปกครองควรถามตนเองว่ารู้สึกพอใจกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุตรหลานนั้นหรือไม่ หากคิดว่ายังไม่ดีพอควรพิจารณาปรับปรุงการทำกิจกรรม แล้วลองนำไปปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อีกครั้ง
...................................
รายการอ้างอิง
จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ (2545) สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์ กทม. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักอธิการบดี
ราชบัณฑิตยสถาน (2524) พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน

สุรางค์ โค้วตระกูล จิตวิทยาการศึกษา(2552) พิมพ์ครั้งที่ 8 กทม. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น