วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

Inclusive Classroom


                                       
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์
สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

Inclusive Classroom  เป็นห้องที่ใช้ในการจัดประสบการณ์เรียนรู้แก่ผู้เรียนที่มีศักยภาพในการรับรู้และเรียนรู้ที่หลากหลาย แต่ละคนจะมีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้ที่แตกต่างกัน บางคนเป็นผู้เรียนปกติ คือสามารถเรียนรู้ได้ด้วยวิธีการตามปกติทั่วๆไปเช่นเดียวกับผู้เรียนคนอื่น ๆ แต่ผู้เรียนบางคนต้องเรียนรู้ด้วยวิธีการที่แตกต่างไป เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนรวมนี้มีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนจะต้องเตรียมทั้งวิธีการ สื่อ ตลอดจนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับผู้เรียน พร้อมทั้งจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลของผู้เรียนแต่ละคนไว้ตั้งแต่ต้นปีการศึกษา  การจัดการศึกษาในห้อง inclusive room หรือห้องเรียนรวม จึงมีทั้งการจัดการศึกษาแบบปกติสำหรับผู้เรียนทั่วไป และการจัดการศึกษาพิเศษ สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ  การศึกษาพิเศษแตกต่างไปจากการศึกษาสำหรับเด็กปกติ  ในด้านเกี่ยวกับวิธีสอน  ขบวนการ  เนื้อหาวิชา(หลักสูตร) เครื่องมือ และอุปกรณ์การสอนที่จำเป็น  การศึกษาพิเศษควรจัดให้สนองความต้องการและความสามารถของแต่ละบุคคล  เด็กที่มีความต้องการพิเศษมีความแตกต่างกันมาก  ดังนั้นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กประเภทนี้จึงควรสนองความต้องการและความสามารถของเด็ก (ผดุง อารยะวิญญู 2542: 13-14)  เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นจะขออธิบายถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
การเรียนรวม (Inclusive Education) มีการหลักการสำคัญ คือให้เด็กเลือกโรงเรียน ซึ่งต่างจากการจัดการศึกษาแบบการเรียนร่วม ที่โรงเรียนเป็นฝ่ายเลือกเด็ก ในการเรียนรวมเด็กทุกคนควรมีสิทธิจะเรียนรวมกันโดยทางโรงเรียนและครูเป็นผู้ปรับสภาพแวดล้อม หลักสูตร การประเมินผล วัตถุประสงค์ ฯลฯ เพื่อครูและโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนเพื่อสนองตอบความต้องการของนักเรียนทุกคนและเฉพาะบุคคลได้
การเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming) หมายถึง การจัดให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเข้าไปเรียนร่วมในโรงเรียนทั่วไป ได้รับโอกาสเข้าเรียนร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นทางร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจ สติปัญญา และการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็กให้ได้สูงสุด
การจัดการศึกษาพิเศษ (Special Education) หมายถึง  กระบวนการในการจัดการเกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษให้เป็นผู้มีความมีความรู้ความสามารถ มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต  มีลักษณะนิสัยที่ดี สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข  โดยคณะกรรมการจัดการศึกษาพิเศษร่วมกันวางแผนการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนลักษณะพิเศษเป็นรายบุคคล  มีการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับผู้เรียนเพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยผู้เรียนเป็นรายบุคคลก่อนที่จะวางแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยมีการกำหนดหลักสูตรกิจกรรมการเรียนรู้  สื่อ และการวัดประเมินผลที่เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล                                
การจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษมีกระบวนการหลักๆ 6 ประการ คือ
1.       การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับความต้องการพิเศษของผู้เรียน 
2.       การวัด ประเมิน และวินิจฉัยความต้องการพิเศษ 
3.       การจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลและพิจารณาการให้บริการที่เกี่ยวข้อง 
4.       การจัดการศึกษาตามแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
5.       การวัดประเมินผลการจัดการเรียนรู้ 
6.       การส่งต่อ 

การจัดการเรียนการสอนในห้อง inclusive room
เนื่องจากศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนมีแตกต่างกัน อีกทั้งธรรมชาตในการรับรู้ และลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน  ครูและผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนในห้องนี้จึงจำเป็นต้องเลือกใช้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับเด็กส่วนใหญ่ และอาจต้องพิจารณาเลือกใช้วิธีสอนบางอย่างสำหรับผู้เรียนบางคนที่ไม่สามารถใช้วิธีการเช่นเดียวกับสมาชิกส่วนใหญ่ในห้องได้  สำหรับวิธีการจัดการเรียนรู้ที่จะเสนอแนะในที่นี้ ได้แก่ การสอนแบบเล่นปนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียนระดับปฐมวัย ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น
วิธีสอนแบบเล่นปนเรียน (Play Way Method)
                การสอนแบบเล่นปนเรียนเป็นวิธีสอนแบบหนึ่งที่ครูสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนในวิชาต่างๆ ได้ตามต้องการ  Spodek  (1985:  181) ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับการเล่นไว้ 4 ทฤษฎี คือ
              1. ทฤษฎีการระบายพลังงาน (Surplus energy theory) หลักการของทฤษฎีนี้บอกว่า ปริมาณพลังงานที่มีนั้น ร่างกายได้ใช้ไปกับการทำงาน ส่วนการเล่นจะเกิดขึ้นในเวลาที่ร่างกายมีพลังงานมากเกินความต้องการ
              2. ทฤษฎีการพักผ่อน (Relaxation theory) หลักการนี้เชื่อว่า การเล่นเป็นการทำให้พลังงานที่ใช้ไปคืนกลับมา หลังการทำงานที่เหนื่อยล้า ร่างกายต้องการกิจกรรมที่ผ่อนคลาย คือการเล่น   
             3.ทฤษฎีการเตรียมออกกำลัง (Pre – exercise theory) การเล่นเป็นพฤติกรรมสัญชาติญาณเป็นการสร้างกิจกรรมในอนาคต การเล่นเป็นการนึกคิดเตรียมบทบาทในการทำงานในอนาคต
              4. ทฤษฎีการสรุป (Recapitulation theory) การเล่นเป็นการรื้อฟื้นทบทวนย้อน ทำกิจกรรมที่ผ่านมาของชีวิต
             การเล่น เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้วิธีหนึ่ง หากครูเข้าใจธรรมชาติของผู้เรียนและรู้จักสอดแทรกกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่ผู้เรียนชอบ ก็จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในขณะเดียวกันก็มีความเพลิดเพลินและมีความสุขกับการที่ได้เล่น
บทบาทครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเล่นปนเรียน 
การใช้เทคนิคการสอนแบบเล่นปนเรียน ครูควรดำเนินการในขั้นตอนสำคัญๆ ดังนี้
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
เริ่มเข้าสู่บทเรียนด้วยเรื่องสนุก ๆ ทั่วๆไป ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเรียนรู้ต่อไป หรือทบทวนความรู้เดิมที่ได้เรียนไปแล้วในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังจะได้เรียน
ขั้นการเรียนการสอน
1.       เข้าสู่บทเรียนด้วยเนื้อหาตามแบบแผนการสอนโดยใช้กิจกรรมการเล่นในลักษณะที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ในแผนการสอน
2.       สังเกตพฤติกรรมผู้เรียนว่ามีโอกาสได้ทำกิจกรรมครบทุกคน
3.       ตรวจสอบผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นขณะทำกิจกรรมการเล่นที่กำหนดไว้
4.       ขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรอนุญาตให้ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมเดี่ยว โดยครูคอยดูและไม่ให้รบกวนผู้อื่น
ขั้นสรุป
บทบาทของการสรุปควรเป็นของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้ตั้งคำถามหรือให้ผู้เรียนสรุปจาก
ผลการทำกิจกรรมตั้งแต่ต้นชั่วโมงจนจบโดยถามเรียงลำดับจากกิจกรรมแรกจนถึงกิจกรรมสุดท้าย แล้วให้ผู้เรียนช่วยกันสรุปผลการเรียนรู้ของชั่วโมงนั้นโดยภาพรวมอีกครั้ง ซึ่งคำถามที่ใช้อาจถามว่า “จากที่เราได้เล่นเกม...... นักเรียนคิดว่า...........เป็นอย่างไร”  เป็นต้น
ทิศนา แขมมณี (2532)  ได้อธิบายถึงการเล่นแบบต่างๆที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ดังนี้  ได้เสนอแนะไว้ดังนี้
1. การเล่นแบบสำรวจตรวจค้น (Exploration play) การเล่นที่ส่งเสริมการรับรู้และประสบการณ์ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความสนใจ สงสัยและความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็นที่มีในตัวเด็กซึ่งจะช่วยให้เด็กได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่สำรวจโดยทำให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการ ด้านความคิดรวบยอด และจะเป็นพื้นฐานการนำไปสู่การค้นพบการตัดสินใจ และการแก้ปัญหาที่ไม่เคยเรียนรู้หรือไม่ประสบการณ์มาก่อน
2. การเล่นแบบทดสอบ (Testing play) การเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผลการที่เด็กได้สำรวจและทดลองเพื่อทดสอบ ช่วยให้เด็กได้พัฒนาความคิดอย่างมีเหตุผล ซึ่งเป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่สำคัญมาก เด็กที่สำรวจสิ่งของต่างๆ มักจะมีการทดสอบคุณสมบัติของสิ่งนั้นๆ เช่น เด็กกดปุ่มพัดลม ปิด เปิด และนั่งดูใบพักหมุน เป็นต้น
3. การเล่นแบบออกกำลังกาย (Physical play) การเล่นที่ส่งเสริมความพร้อมในการเรียนรู้เป็นการเล่นในลักษณะการออกกำลังกายช่วยพัฒนากล้ามเนื้อทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งยังช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อต่างๆ ให้เกิดความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งแม้ว่า Physical play จะมีบทบาทที่ชัดเจนในการพัฒนาทางกาย แต่ก็มีส่วนสัมพันธ์ในการพัฒนาทางสติปัญญาด้วย  เพราะความพร้อมทางกายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาด้วยเพราะความพร้อมทางกายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นไปอย่างเหมาะสม
4. การเล่นสมมติและการเล่นเลียนแบบ (Dramatic play and initiation) การเล่นที่ส่งเสริมการใช้ความคิดและจินตนาการ เป็นการกระตุ้นให้เด็กใช้ความคิดและจินตนาการของตนฝึกการคิดคำนึง การสร้างมโนภาพ ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจนามธรรมมากขึ้น รวมทั้งรู้จักปรับตัว เข้ากับผู้อื่นได้
5. การเล่นสร้าง (Construction play) เป็นการเล่นที่เด็กจะนำข้อมูลความรู้ทัศนคติต่างๆจากประสบการณ์มาสัมพันธ์กันในรูปแบบใหม่ อันก่อให้เกิดความคิดและประสบการณ์ใหม่ในด้านสร้างสรรค์ เพื่อให้การเล่นประสบความสำเร็จ การเล่นลักษณะนี้มีค่อนข้างมากในชนบท วัสดุอุปกรณ์ในการเล่นมักทำจากวัสดุเหลือใช้ หรือวัสดุที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น การเล่นร้อยดอกไม้ และนำไปเล่นสมมติซื้อขายดอกไม้
6. การเล่นแบบสัมผัสกระทำ (Manipulative play) เป็นการเล่นที่ส่งเสริมการสังเกตการณ์คิด
จำแนก การคิดเปรียบเทียบและการคิดหาความสัมพันธ์ เช่น การนำภาพมาต่อให้เป็นรูปภาพ เป็นต้น
7. การเล่นที่ส่งเสริมทักษะทางภาษาและความจำ (Verbal play) ทักษะทางภาษาเป็นดัชนีบ่งชี้พัฒนาการทางสติปัญญาอย่างหนึ่งของเด็ก การเล่นช่วยฝึกทักษะการฟัง ทำให้เด็กสามารถเข้าใจผู้อื่นได้ง่าย การเล่นช่วยฝึกทักษะการพูด ทำให้เด็กสามารถสื่อความคิดต่างๆ ของตนให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เช่น การเล่นร้องเพลงและการทำท่าประกอบจังหวะ การเล่นเล่าเรื่อง การเล่นท่องคำคล้องจอง และทำท่าประกอบเป็นต้น
8. การเล่นเกม (Games) เป็นการเล่นที่ส่งเสริมการคิดการตัดสินใจ เกมบางอย่างเด็กต้องอาศัยการออกกำลังกาย การเล่นนับว่ามีส่วนช่วยพัฒนาสติปัญญาของเด็ก ในการเล่นเกมเด็กต้องจดจำกติกา ข้อตกลง ต้องตัดสินใจและใช้ไหวพริบ นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาด้านร่างกาย สังคม และสติปัญญา 

“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
รายการอ้างอิง
จรีลักษณ์ รัตนาพันธ์  (2555) หลักการและแนวคิดการจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนลักษณะพิเศษ” ใน ประมวลสาระชุดวิชา
22769 การจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนลักษณะพิเศษ หน่วยที่ 1 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  นนทบุรี
ผดุง อารยวิญญู (2542) การเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ สำนักพิมพ์แว่นแก้ว  กรุงเทพฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น